ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมัยนี้การวางแผนชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก และหนึ่งในนั้นคือการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้กับตัวเอง แต่พอต้องเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำประกันจริงจังหลายคนกลับมาคำถามในใจว่าจะทำประกันหรือซื้อประกันภัยออนไลน์ยังไงไม่ให้เสียสิทธิ์ความคุ้มครองหรือจ่ายเบี้ยประกันทิ้ง เพราะถ้าตัดสินใจผิดหนึ่งครั้งอาจส่งผลกระทบให้กับชีวิตได้ไม่น้อยเลย บทความนี้จะขออาสาเป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของการเลือกซื้อประกันมากขึ้น เริ่มอ่านกันได้เลย

3 ปัญหาที่คนส่วนใหญ่ต้องเคยเจอเมื่อจะเลือกซื้อประกัน

ก่อนที่จะเริ่มเลือกซื้อประกันอะไรสักอย่าง อยากชวนมาทำความเข้าใจกับปัญหาที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องปวดหัวกันมากที่สุด เพราะการรู้เท่าทันปัญหาเหล่านี้จะช่วยให้คุณไม่ตกหลุมพรางและสามารถวางแผนซื้อประกันภัยออนไลน์ได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ลองสำรวจดูว่าคุณเคยเจอปัญหาเหล่านี้หรือไม่

ซื้อประกันที่คุ้มครองเหมือนกัน แต่ซื้อคนละบริษัทประกัน

หลายคนอาจมีสวัสดิการประกันสุขภาพกลุ่มจากที่ทำงานอยู่แล้ว แต่ก็ซื้อประกันส่วนตัวเพิ่มโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียด ทำให้ความคุ้มครองบางส่วนซ้ำซ้อนกันโดยไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร เพราะไม่ได้ช่วยเพิ่มวงเงินหรือสิทธิ์ใหม่ๆ แถมยังยุ่งยากตอนต้องยื่นเอกสารเคลมหลายที่ ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ประกันสุขภาพเพิ่มเติม ลองเช็กให้ดีก่อนว่าแผนใหม่นี้ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดไป เช่น เพิ่มวงเงินสำหรับผู้ป่วยใน ขยายความคุ้มครองโรคร้ายแรง หรือเสริมสิทธิ์ผู้ป่วยนอก แทนที่จะซื้อแผนที่คุ้มครองเหมือนเดิมทุกประการจนต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มโดยไม่จำเป็น

เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันเยอะเกินไป อ่านไม่เข้าใจ

กรมธรรม์ประกันภัยส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยภาษาทางกฎหมายและศัพท์เฉพาะทางที่เข้าใจยาก ทำให้คนทั่วไปรู้สึกท้อแท้ตั้งแต่หน้าแรก ๆ และยอมเซ็นชื่อไปแบบงง ๆ เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การไม่ทำความเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ในอนาคต เช่น เหตุผลที่ไม่สามารถเคลมประกันได้ หรือได้รับเงินชดเชยไม่เต็มจำนวนอย่างที่คาดหวัง นี่คือสาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่า ทำประกัน ไปแล้วแต่เหมือนถูกหลอก

เคลมประกันไม่ได้ ไม่คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่จ่ายไป

นี่คือความผิดหวังสูงสุดสำหรับผู้เอาประกัน เพราะสิ่งที่คาดหวังคือการได้รับการคุ้มครองในยามฉุกเฉิน แต่กลับกลายเป็นว่าประกันที่ซื้อมาไม่สามารถช่วยเหลือได้เลย ปัญหานี้มักเกิดจากการมองข้ามรายละเอียดสำคัญ เช่น ในประกันสุขภาพจะถูกกำหนดระยะเวลารอคอย (Waiting Period) สำหรับโรคบางชนิด หรือเงื่อนไขเรื่องการไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน (Pre-existing Condition) ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทุกกรมธรรม์ต้องมี

เช็กลิสต์ 5 ข้อที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกัน

เพื่อให้การเลือกประกันของคุณเป็นไปอย่างมีระบบและรอบคอบมากขึ้น ลองใช้ 5 คำถามง่าย ๆ เหล่านี้ถามตัวเองและตัวแทนก่อนที่คุณจะเซ็นชื่อในกรมธรรม์

ต้องการ "ทำประกัน" เพื่ออะไรกันแน่?

นี่คือคำถามแรกและสำคัญที่สุดที่ต้องตอบกับตัวเองให้ได้ก่อน เพราะจุดประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดทิศทางในการเลือกซื้อประกันได้อย่างแม่นยำที่สุด ลองคิดดูว่าในชีวิตนี้กลัวอะไรมากที่สุด เช่น

• เพื่อคุ้มครองสุขภาพ : ถ้าคุณกลัวว่าค่ารักษาพยาบาลจะแพงจนรับมือไม่ไหว ทำประกันสุขภาพ คือคำตอบที่ใช่ที่สุด และคุณอาจจะต้องพิจารณาต่อว่า ประกันสุขภาพ ที่ไหนดี ที่สุดสำหรับคุณ ทั้งในแง่ของวงเงินความคุ้มครองและเบี้ยประกันที่เหมาะสม
• เพื่อคุ้มครองชีวิต : ถ้าคุณเป็นเสาหลักของครอบครัว และกังวลว่าหากตัวเองจากไปแล้วคนที่คุณรักจะลำบาก ประกันชีวิต คือสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับพวกเขา
• เพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน : สำหรับคนที่กังวลเรื่องความเสียหายของทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ หรือธุรกิจ ประกันทรัพย์สิน และ ประกันรถยนต์ คือสิ่งที่จะช่วยคุ้มครองทรัพย์สินของคุณได้
• เพื่อคุ้มครองการเดินทาง : หากคุณเดินทางบ่อย ประกันภัยการเดินทาง จะช่วยคุ้มครองคุณจากเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ เช่น ไฟล์ทดีเลย์ หรือกระเป๋าเดินทางหาย

ตอนนี้มีความคุ้มครองอะไรอยู่บ้าง?

อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทำประกันใหม่ทันที ลองกลับไปสำรวจสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วก่อน เพราะบางทีอาจมีความคุ้มครองซ่อนอยู่ในสวัสดิการต่าง ๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น

• สวัสดิการจากที่ทำงาน : สอบถามฝ่ายบุคคลหรือดูเอกสารสวัสดิการให้ดีว่าบริษัทมีประกันกลุ่มให้หรือไม่ และความคุ้มครองครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น วงเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) ผู้ป่วยนอก (OPD) และค่าห้องพัก
• ประกันจากบัตรเครดิต : บัตรเครดิตหลายประเภทแถมประกันอุบัติเหตุหรือประกันการเดินทางมาให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวงเงินความคุ้มครองเสริมได้

ถ้าจ่ายเบี้ยประกันในระยะยาวจะไหวไหม?

การจ่ายเบี้ยประกันไม่ใช่แค่เงินก้อนเดียวจบ แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่ต้องอาศัยวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าคุณจ่ายไม่ไหวในอนาคต กรมธรรม์ประกันก็อาจสิ้นสุดลงและทำให้เงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้กลายเป็นเงินที่เสียไปโดยไม่ได้ใช้สิทธิ์อย่างคุ้มค่า ลองทำตามนี้

• คำนวณความสามารถในการจ่าย : คำนวณดูว่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายต่อปีเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของรายได้ทั้งหมด ถ้าเบี้ยประกันปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ ยังสามารถจ่ายเบี้ยประกันไหวไหม
• พิจารณาแผนสำรอง : หากเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้รายได้ลดลง ยังมีเงินสำรองเพื่อใช้จ่าย เบี้ยประกันในช่วงเวลานั้นอยู่ใช่ไหม

ข้อจำกัดความคุ้มครองมีอะไรบ้าง?

กรมธรรม์ทุกฉบับมีข้อจำกัดที่ควรทำความเข้าใจให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะกับประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไขเยอะเป็นพิเศษ หากพลาดในจุดนี้ อาจทำให้ต้องผิดหวังเมื่อต้องเคลมประกัน เช่น

• ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) : สอบถามตัวแทนให้ชัดเจนก่อนทำประกันว่าประกันสุขภาพคุ้มครองทันทีหรือไม่ หรือมีระยะเวลารอคอยสำหรับโรคอะไรบ้าง เพราะโดยปกติแล้วมักจะมีระยะเวลาสำหรับโรคทั่วไป 30 วัน และโรคร้ายแรง 90-120 วัน
• ความคุ้มครองโรคเดิม : ถ้าคุณมีประวัติเป็นโรคหรือภาวะเจ็บป่วยมาก่อน ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าประกันสุขภาพที่จะซื้อครอบคลุมโรคดังกล่าวด้วยหรือไม่
• ข้อยกเว้นความคุ้มครอง : ควรอ่านส่วนที่เป็น "ข้อยกเว้นความคุ้มครอง" อย่างละเอียดที่สุด เพราะเป็นส่วนที่บอกว่าบริษัทประกันจะไม่จ่ายผลประโยชน์ในกรณีใดบ้าง เช่น ประกันสุขภาพมักมีเงื่อนไขว่า จะไม่คุ้มครองการรักษาที่เกิดจากการทำร้ายตัวเอง หรือการกระทำผิดกฎหมาย
• Deductible และ Copayment : ตรวจสอบด้วยว่ากรมธรรม์มีการกำหนด Deductible (จำนวนเงินที่ต้องจ่ายเองเป็นส่วนแรก ก่อนที่บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ) หรือ Copayment (ค่าใช้จ่ายที่ต้องร่วมจ่ายกับบริษัทประกัน) หรือไม่ เพื่อประเมินว่าคุณรับภาระไหวแค่ไหนหากต้องรับการรักษา

ถ้าเกิดเหตุขึ้นจริงจะต้องทำอะไรบ้าง?

การเลือกประกันที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องความคุ้มครอง แต่รวมถึงบริการหลังการขายและขั้นตอนการเคลมที่ะไม่ยุ่งยาก เพราะเมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยฉุกเฉิน คงไม่มีใครอยากมาจัดการเรื่องเอกสารให้วุ่นวาย เช่น

• ต้องสำรองจ่ายก่อนไหม? : ควรถามให้ชัดเจนว่าถ้าต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน แล้วจึงนำใบเสร็จมาเบิกคืนทีหลัง หรือสามารถใช้บัตรประกันเพื่อเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องสำรองจ่ายได้เลย
• โรงพยาบาลในเครือ : ตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทประกันว่ามีโรงพยาบาลที่เดินทางสะดวกหรือโรงพยาบาลที่คุณต้องการเข้ารับการรักษาหรือไม่
• ขั้นตอนการเคลม : สอบถามตัวแทนหรืออ่านรายละเอียดประกันให้ดีว่าเมื่อถึงขั้นตอนการเคลมเป็นอย่างไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง และต้องติดต่อใครในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

วิธีเช็กความคุ้มครองประกัน ก่อนตัดสินใจซื้อประกัน

ก่อนคลิก “ซื้อประกัน” หรือเซ็นชื่อในกรมธรรม์ อย่าลืมตรวจรายละเอียดความคุ้มครองให้ครบทุกด้านเพื่อให้แน่ใจว่าเงินทุกบาทที่จ่ายไปจะได้สิทธิ์คุ้มครองจริง ไม่ต้องเสียดายทีหลัง

ทำประกันไปแล้วก็ต้องเข้าใจศัพท์พื้นฐานในกรมธรรม์

ควรทำความเข้าใจคำสำคัญในกรมธรรม์ให้ชัดเจนก่อน เพราะเมื่อรู้จักคำเหล่านี้จะช่วยให้คุณอ่านเงื่อนไขประกันได้อย่างถูกต้องและมั่นใจว่าความคุ้มครองที่คุณได้รับนั้นเป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น

• ทุนประกัน (Sum Assured) คือวงเงินสูงสุดที่บริษัทจะจ่ายให้คุณเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ เช่น ถ้าทุนประกันสุขภาพ ระบุว่า 500,000 บาทต่อปี จะเคลมได้ไม่เกินวงเงินนี้
• เบี้ยประกัน (Premium) คือเงินที่คุณต้องชำระให้กับบริษัทตามรอบสัญญาที่ตกลงกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพรายเดือน ประกันสุขภาพรายปี หรือประกันสุขภาพแบบครั้งเดียว
• Copayment คือ การที่ผู้เอาประกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลร่วมกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ตั้งแต่บาทแรกที่ใช้บริการ เช่น หากกรมธรรม์ระบุ Copayment 10% และค่ารักษาทั้งหมดคือ 50,000 บาท คุณจะต้องจ่าย 5,000 บาท (10%) ส่วนที่เหลือ 45,000 บาท ประกันจะรับผิดชอบให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
• ความรับผิดส่วนแรก (Deductible) คือค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่ต้องรับผิดชอบก่อนที่บริษัทประกันจะจ่ายส่วนที่เหลือตามเงื่อนไข เช่น กรมธรรม์มีความรับผิดส่วนแรก 5,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดคือ 30,000 บาท คุณจะต้องจ่ายเอง 5,000 บาท และบริษัทจะจ่ายส่วนที่เหลือ 25,000 บาท

ถ้าคำศัพท์เกี่ยวกับประกันสุขภาพคำไหนอ่านแล้วไม่เข้าใจ ให้จดคำถามไว้แล้วสอบถามตัวแทนหรือติดต่อ Call Center ของบริษัทประกัน ดีกว่าคาดเดาแล้วเข้าใจผิดไปเอง

เปรียบเทียบความคุ้มครองกับประกันที่มีอยู่แล้ว

การมีประกันหลายฉบับไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมั่นใจว่าทุกฉบับทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลองทำเช็กลิสต์สิทธิ์ที่คุณมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวงเงิน ผู้ป่วยใน (IPD) ผู้ป่วยนอก (OPD) ค่าห้อง, หรือความคุ้มครองโรคร้ายแรง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับแผนประกันที่คุณสนใจ

ถ้าสิทธิ์ที่ได้รับเหมือนกันทุกอย่าง คุณก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเจอช่องว่าง เช่น ประกันเดิมมีวงเงิน IPD ต่ำ หรือไม่มีความคุ้มครอง OPD เลย การซื้อเพิ่มในส่วนนี้จะช่วยเติมเต็มให้ความคุ้มครองของคุณ "ครบทุกมุม" อย่างแท้จริง

เช็ก Fine Print ให้ไม่พลาด

อย่าลืมอ่านรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในสัญญา หรือที่เรียกว่า "Fine Print" เพราะตรงนี้มักเป็นเหตุผลที่ทำให้คนรู้สึกว่า “ซื้อประกันแล้วใช้ไม่ได้จริง” เช่น บางกรมธรรม์โรคร้ายแรงจะคุ้มครองเฉพาะ “มะเร็งระยะลุกลาม” เท่านั้น ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มต้น คุณอาจไม่ได้รับเงินชดเชยตามที่คาดไว้  หรือบางแผนอาจระบุว่าต้อง “สำรองจ่าย” หากเข้ารักษาในโรงพยาบาลนอกเครือ ซึ่งถ้าไม่รู้ข้อนี้ ก็อาจจะไม่ได้มีเงินสำรองฉุกเฉินในส่วนนี้เอาไว้ เป็นต้น  ดังนั้น ระหว่างอ่านทำความเข้าใจ อาจลองทำเช็กลิสต์ง่าย ๆ เช่น

• เงื่อนไขคุ้มครองโรค
• เครือโรงพยาบาล
• วิธีเคลม

เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ข้ามจุดสำคัญข้อไหนไป หากมีจุดไหนไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจ ให้สอบถามตัวแทนหรือเจ้าหน้าที่บริษัทประกันก่อนเซ็นสัญญา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต

แจกเคล็ดลับการเลือกซื้อประกันไปแล้วไม่ให้รู้สึกว่าถูกหลอก

การเลือกซื้อประกันที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองภาพรวมทั้งความคุ้มครอง เงื่อนไข และความน่าเชื่อถือของผู้ขายด้วย ซึ่ง 3 เคล็ดลับที่ช่วยเลือกซื้อประกัน คือ

อย่าซื้อประกันเพราะแค่โปรโมชันลดแลกแจกแถม

โปรโมชันที่ถูกทำการตลาดมา อาจทำให้แผนประกันดูคุ้มค่า แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือรายละเอียดของความคุ้มครอง เช่น วงเงินผู้ป่วยใน (IPD) สิทธิ์ผู้ป่วยนอก (OPD) หรือเงื่อนไข “ประกันสุขภาพคุ้มครองทันที” ว่ามีจริงหรือไม่ ควรอ่านข้อมูลให้ครบทุกจุดก่อนคลิก “ซื้อประกันภัยออนไลน์”

ตัวอย่างเช่น บางแพ็กเกจประกันสุขภาพโฆษณาว่า “เบี้ยประกัน ลด 50%” แต่ในรายละเอียดระบุคุ้มครองเฉพาะโรงพยาบาลในเครือไม่กี่แห่ง ถ้าไม่ได้เช็กดี ๆ อาจเจอปัญหาเวลาใช้สิทธิ์ เช่น ต้องจ่ายเองเต็มจำนวนถ้าไปโรงพยาบาลอื่น ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรดูรายชื่อโรงพยาบาลหรือคลินิกที่อยู่ในเครือให้ครบ และประเมินว่าครอบคลุมพื้นที่ที่คุณสะดวกใช้บริการหรือไม่

ถามคำถามให้ละเอียด เคลมประกันยังไง? ต้องสำรองจ่ายเองก่อนไหม

อย่ากลัวที่จะซักถามตัวแทนหรือโบรกเกอร์เกี่ยวกับทุกขั้นตอนของการเคลม เพราะนี่คือข้อมูลสำคัญที่จะบอกว่ากรมธรรม์นั้นเหมาะกับคุณจริงหรือไม่ ลองถามให้ชัดเจนว่า

• ต้องสำรองจ่ายก่อนไหม? เพราะบางแผนกำหนดให้คุณต้องจ่ายเงินสดไปก่อน แล้วค่อยยื่นเรื่องเบิกกับบริษัททีหลัง ซึ่งอาจทำให้ลำบากเวลาฉุกเฉินหากไม่มีเงินสำรอง
• โรงพยาบาลในเครือมีที่ไหนบ้าง? ตรวจสอบว่ามีโรงพยาบาลในเครือที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานหรือไม่ เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิ์
• ครอบคลุมโรคที่คุณกังวลหรือไม่? ถามให้แน่ใจว่าความคุ้มครองครอบคลุมโรคที่คุณกังวลเป็นพิเศษ หรือมีข้อยกเว้นบางอย่างที่ต้องระวัง

การถามให้ละเอียดตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าประกันที่เลือกสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้จริง และจะไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังว่า “รู้งี้ถามให้ครบตั้งแต่แรก”

ซื้อประกันสุขภาพออนไลน์กับนายหน้าที่เชื่อถือได้

ถ้าคุณยังลังเลว่าจะเลือก ประกันสุขภาพ ของอะไรดี การขอคำแนะนำจากโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมาก เพราะโบรกเกอร์ไม่ได้จำกัดอยู่กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถเปรียบเทียบแผนจากหลายค่าย และแนะนำแผนที่เหมาะกับคุณที่สุดได้

หากคุณต้องการแผนที่คุ้มครองทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก พร้อมเบี้ยประกันที่เหมาะกับงบ โบรกเกอร์จะช่วยคัดเลือกแผนที่ตอบโจทย์มาให้ พร้อมอธิบายข้อดี-ข้อจำกัดอย่างละเอียด ทำให้คุณเข้าใจเงื่อนไขในกรมธรรม์และเลือกประกันที่เหมาะกับความต้องการจริง ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาเองทุกแผน และมั่นใจได้ว่าคุณเลือกสิทธิ์คุ้มครองที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

Tip แนะนำ

ถ้าไม่รู้จะซื้อประกันมะเร็งที่ไหนดี หนึ่งในตัวเลือกของผู้เสนอขายประกันมะเร็งออนไลน์ที่น่าสนใจคือ “อิออน” พร้อมรับสิทธิ์ผ่อนเบี้ยประกัน 0%*

• รับสิทธิ์ผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันภัย ดอกเบี้ย 0% นาน 3, 6 และ 10 เดือน สำหรับบริการ“อิออน แฮปปี้ เพย์” เมื่อมียอดสินเชื่อตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป และสำหรับบริการ “อิออน แฮปปี้ แพลน” เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป
• เริ่มต้นผ่อนชำระต่อเดือน 300 บาทขึ้นไป/เดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันภัย ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ด้วยบริการ “อิออน แฮปปี้ เพย์” หรือเริ่มต้นผ่อนชำระ 500 บาทขึ้นไป/เดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดผ่อนชำระสินค้าหรือบริการตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ด้วยบริการ “อิออน แฮปปี้ แพลน”

*เงื่อนไขเป็นไปที่บริษัทฯ กำหนด

*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับบัตรเครดิต

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 22% - 25% ต่อปี สำหรับสินเชื่อ

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 22% - 25% ต่อปี

*นายหน้าประกันภัยโดย บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

*ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

เครื่องมือช่วยวางแผนประกันแบบมืออาชีพ

การเลือกแผนประกันที่เหมาะสมไม่ใช่แค่ดูราคาเบี้ยประกันแต่ต้องดูภาพรวมของความคุ้มครองด้วย การมีเครื่องมือที่ช่วยเปรียบเทียบ วิเคราะห์ และจัดระเบียบข้อมูล จะทำให้คุณเข้าใจสิทธิ์ที่ได้รับจากแต่ละแผนได้ชัดเจนขึ้น เห็นว่าตรงกับงบประมาณและความต้องการหรือไม่ และช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบว่าควรซื้อแผนไหน หรือปรับรายละเอียดใดให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

ใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบเบี้ยประกัน

เว็บไซต์เปรียบเทียบเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสำรวจแผนประกันต่าง ๆ เพียงแค่กรอกข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ วงเงินที่ต้องการ หรือประเภทกรมธรรม์ ระบบก็จะคำนวณ เบี้ยประกัน และแสดงรายละเอียด ความคุ้มครอง ทำให้คุณสามารถเลือกแผนที่เหมาะกับงบประมาณและความต้องการได้ง่ายขึ้น

แอปพลิเคชันช่วยบันทึกกรมธรรม์ประกันที่ถืออยู่

อีกปัญหาหนึ่งที่คนทำประกันหลายฉบับมักเจอคือ “จำไม่ได้ว่ามีกรมธรรม์อะไรอยู่บ้าง” การใช้แอปพลิเคชันสำหรับบันทึกข้อมูลกรมธรรม์จะช่วยให้จัดการเอกสารง่ายขึ้น เช่น แอปพลิเคชัน InsurTech หรือแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์หลาย ๆ เจ้า ที่ถูกออกแบบมาให้บันทึกข้อมูลกรมธรรม์หลายฉบับจากหลายบริษัทได้ในที่เดียว ให้คุณเช็กความคุ้มครองและวันหมดอายุได้ง่ายขึ้น

ตารางวางแผนความคุ้มครองแบบ 360 องศา

อีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของประกันทั้งหมดคือการทำ “ตารางสรุปความคุ้มครอง” ด้วยตัวเอง ลองจดข้อมูลเหล่านี้ลง Google Sheets หรือไฟล์ Excel เพื่ออัปเดตได้สะดวกทุกครั้งที่ซื้อหรือปรับกรมธรรม์ใหม่

• ชื่อกรมธรรม์ และบริษัทประกัน
• ประเภทความคุ้มครอง เช่น ประกันสุขภาพ, ประกันชีวิต)
• วงเงิน IPD (ผู้ป่วยใน) และ OPD (ผู้ป่วยนอก)
• เงื่อนไขสำคัญ เช่น ระยะเวลารอคอย, ข้อยกเว้น
• วันหมดอายุ หรือวันต่ออายุ

เมื่อเห็นข้อมูลทั้งหมดในที่เดียว คุณจะรู้ทันทีว่ายังมีจุดไหนที่ “เว้นช่องว่าง” เช่น หรือยังไม่มีความคุ้มครองโรคร้ายแรง จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจซื้อหรือปรับแผนให้ครอบคลุมตามความต้องการจริง ๆ

ประกันที่ดีคือประกันที่ตอบโจทย์ชีวิตคุณ

ท้ายที่สุดแล้ว “ประกันที่ดีที่สุด” ไม่ได้หมายถึงแผนที่มีราคาแพงที่สุด หรือให้ความคุ้มครองมากที่สุดเสมอไป แต่คือประกันที่คุณ เข้าใจเงื่อนไขอย่างชัดเจน และ มั่นใจได้ ว่าจะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้คุณและครอบครัวได้จริงยามเกิดเหตุไม่คาดคิด เลือกประกันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายชีวิตของคุณ แล้วคุณจะไม่ต้องย้อนมานึกเสียดายในภายหลังว่า “รู้งี้ ไม่น่าเสียเงินทิ้งเลย”

ขอบคุณข้อมูลจาก : releaseyourrisk, aommoney, ไทยประกันชีวิต, สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย, chubb, fwd, ttbbank, financeformom